Position
Part #11.5
หญิงสาวในชุดแม่บ้านเดินกระแทกฝีเท้าเข้ามาในคฤหาสน์ทั้งใบหน้าสวยล้อมเรือนผมสีดำ คิ้วเรียวขมวดเป็นปมด้วยความร้อนใจ พลางดวงแก้วสีหม่นช้อนมองเพดานด้านบนอย่างจดจ้อง ข้างบนนั้นอีกสองชั้นมีคนที่เธอรักรออยู่
เขากำลังรอให้เธอไปช่วย นั่นคือความคิดของเธอจะไม่มีทางให้ใครมาแย่งไปเด็ดขาดไม่ว่ายังไง..
ตึง...ตึง...ตึง
เสียงฝีเท้าหนึ่งดังขึ้นจากหัวบันได มีใครบางคนกำลังเดินลงมา มิคาสะไหวตัวรีบถอยหลังเบี่ยงขวาหลบหลังเสาปูนใหญ่สีขาวพลัน ใบหน้าสวยชะเงื้อออกมาเล็กน้อยเพื่อมองคนที่เดินลงมา “ไอ้เด็กบ้า” มิคาสะสบถเบาๆแล้วขบฟันแน่น ยิ่งเห็นหน้ายิ่งรู้สึกขุ่นมั่วในใจบวกกับเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่นั้นทำให้เธอแทบไม่ต้องคิดก็รับรู้ เหมือนดินโคลนใต้บึงใหญ่ที่ลอยขึ้นมา ดวงตาสีนิลไล่มองตามแผ่นหลังกว้างของเด็กหนุ่มที่กำลังเดินไกลออกไป เธอคาดเดาทิศทางการเดินของรีไวล์ที่มุ่งตรงไปทางด้านหลังของคฤหาสน์ซึ่งเป็นทางไปห้องครัวใหญ่ เส้นทางเดินไปกลับก็ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไรนักเธอจึงคิดว่ามีเวลาไม่นานที่เธอจะไปพาตัวเอเลนออกมา ซึ่งมันสะดวกกว่าที่เธอคิด ในเมื่อรีไวล์ออกมาข้างนอกแบบนี้ แสดงว่าในห้องนั้นมีเอเลนอยู่เพียงลำพัง
จังหวะเป็นใจจริงๆ....
มิคาสะมองแผ่นหลังกว้างที่ไกลออกไประยะหนึ่งและรอบๆกายทั้งซ้ายขวาที่ไม่มีใครอยู่ จึงแน่ใจว่าหากเธอวิ่งสวนขึ้นบันไดไปก็คงไม่มีใครเห็น ..เธอไม่รอช้ารีบผละตัวออกจากเสาปูนแล้ววิ่งเหยาะๆขึ้นบันไดหินอ่อนเคลือบเงาไป จนมาถึงชั้นสาม ขั้นบันไดมากมายหลายสิบขั้นทำเอาแม่บ้านที่ได้ขึ้นชื่อว่าเก่งสี่สุดอย่างเธอรู้สึกปวดน่องหน่อยๆ แต่ในที่สุดก็มาถึงชั้นที่มีห้องของนายน้อยรีไวล์อยู่ และในห้องนั้นก็มีคนรักของเธอ มิคาสะทอดทองประตูไม้สีน้ำตาลบานใหญ่สีสลักลายไม้เลื้อยรอบๆพลางแสยะยิ้มออกมาจางๆ มือเรียวเอื้อมคว้าลูกบิดแล้วดันเข้าไป เพื่อให้บานประตูเปิดกว้างออกช้าๆ
เอเลนอยู่ที่นี่จริงๆด้วย...
หญิงสาวตาเป็นประกายเมื่อได้เห็นร่างสูงโปร่งที่นอนอยู่บนเตียงใหญ่สีครีมด้วยท่าทีสงบ ร่างเพรียวบางย่างกรายเข้ามาในห้องนอนกว้างใหญ่สะอาดสะอ้านทุกระเบียดนิ้ว สิ่งของในห้องจัดวางอย่างดี แม้กระทั่งหนังสือก็จัดเรียงเท่ากันทุกเซนติเมตร ดูๆแล้วเรียบร้อยกว้าห้องของเธอเสียอีก หญิงสาวละสายตาจากฟอร์นิเจอร์ในห้อง แผนมองมายังใบหน้าหวานล้อมเรือนผมสีน้ำตาลของชายหนุ่มเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็ก
ชายหนุ่มที่เธอรักมากกว่าอะไรทั้งสิ้น รักมาแสนนานเหลือเกิน
หญิงสาวเดินนวยนาดไปที่เตียงนอนใหญ่แล้วทิ้งสะโพกคุกเข่านั่งอยู่ข้างขอบเตียงอย่างช้าๆทั้งสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าหวานชวนพิสมัยที่แดงฉานราวกับพิษไข้ ลมหายใจแรงและร้อนผ่าว มิคาสะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ มือเรียวยกขึ้นทาบหน้าผากก็แทบจะกระตุกออกพลัน เนื่องจากความร้อนที่ไหลผ่านฝ่ามือบอกให้เธอได้รู้ว่าเอเลนมีไข้ขึ้นสูงมาก “ชิ! ไอ้เด็กบ้านั่นทำให้เธอเป็นถึงขนาดนี้เลยหรอเอเลน” เสียงใสพูดลงเสียงหนักด้วยความเคืองขุ่นใจแต่ใบหน้ากลับดูอ่อนโยนวิตกกังวล รู้สึกว่าหัวใจสั่นคลอนเบาๆเมื่อได้เห็นเอเลนเป็นแบบนี้ มือเรียวลูบใบหน้าหวานที่ร้อนรุ่มเบาๆอย่างอ่อนโยน ไล่ลงมาจนถึงคอระหงนวลเนียนประดับรอยสีกุหลายเป็นจ้ำๆตั้งแต่คอลงมาทำเอาเธอถึงกับเบ้ปากขยะแขยงเสียไม่ได้
แม่บ้านสาวสะดุ้งเห็นเอเลนก็พลอยลืมไปเลย คำนวณเวลาแล้วตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่มาก ต้องพาเอเลนกับไปเดี๋ยวนี้ ไม่มีเวลาอีกแล้ว ก่อนที่รีไวล์จะเดินมาเห็น “เอเลน... เอเลน ตื่น เอเลน” เสียงหวานเอ่ยดังขึ้นเล็กน้อยพลางมือเรียวเขย่าแขนของเอเลนแรงๆเพื่อปลุกให้ตื่นจากนิทรา มิคาสะเรียกชื่อของชายหนุ่มไปเรื่อยๆด้วยท่าทีร้อนรนขับให้ดวงตาสีมรกตค่อยๆปรือขึ้นช้าๆ ทุกสิ่งอย่างพร่ามัวไปหมดโดยเฉพาะใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า ที่ทำท่าลุกลี้ลุกลนเรียกตนอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกปวดเกร็งไหลผ่านเข้าสู่สมอง เนื่องจากการหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ “โอ๊ย!” เอเลนอุทานเบาๆ เนื่องจากภายในสมองตอนนี้รู้สึกปวดตุบๆอย่างประหลาด ชายหนุ่มพยายามปรือตามองเพื่อนสาวที่กำลังพยายามปลุกเขาด้วยความฉงน เขย่าไปก็พลางหันมองประตูไป
เป็นอะไรของเธอเนี่ย..
“ลุกขึ้นเร็วเอเลน กลับไปกับฉันเถอะนะ ก่อนที่ไอ้เด็กบ้านั้นมันจะกลับมา มันจะกลับมาพูดปอกลอกเธอให้เธอหลงเชื่อ แล้วก็ทำมิดีมิร้ายกับเธอ…”มิคาสะเห็นดวงตาที่เปิดขึ้นของเอเลนก็ดีใจอย่างบอกไม่ถูก รีบใช้เวลานี้พูดกรอกหูฉอดๆเพื่อให้เอเลนยอมกลับไปกับเธอ ทั้งที่ในหัวของเอเลนนั้นยังมึนงง ดวงตาสีมรกตยังเลื่อนลอยมองหน้าของเพื่อนสาวอยู่อย่างนั้น ฟังไม่ได้ศัพท์สักนิด ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้มานอนอยู่ที่ไหนแล้วจะให้กลับไปไหน
ปึง!!!
เสียงปิดประตูดังก้องไปทั่วห้อง ชักสายตาทั้งสองคู่ให้หันมามอง มิคาสะสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาสีนิลคมสวยสบเข้ากับดวงตาสีเทาเรียวยาวที่ดุดันดั่งราชสีห์กำลังจ้องเขม็งมาที่เธอพร้อมกับแผงยาในมือขวา มิคาสะพยายามปรับทำสีหน้าให้นิ่งเยือกเย็นที่สุดทั้งที่ใจหวาดหวั่นต่อสายตาของรีไวล์ “เธอเข้ามาทำอะไรที่ห้องของฉัน…” เสียงหนักแน่นแฝงคำรามเอ่ยกับแม่บ้านสาวที่เข้ามาในห้องของเขาโดยพละการแถมยังบังอาจมาแตะต้องเอเลนสุดที่รัก ผลักดันให้ความเดือดดาลในใจค่อยๆปะทุขึ้น หญิงสาวร่างสูงดันตัวให้ลุกขึ้นยื่นเต็มความสูงพร้อมชักสีหน้ากวนบาทาก่อนจะค่อยขยับปากพูดตอกกลับไป
“ดิฉันควรจะเป็นฝ่ายถามมากกว่านะคะ ว่าเอเลนมานอนอยู่ที่ห้องของคุณได้ยังไง” น้ำเสียงหน่อมแน้มของหญิงสาวกระตุ้นต่อมความโกรธของรีไวล์ให้พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงแต่ก็ยังพยายามเก็บอาการเอาไว้ในส่วนลึก ในใจอยากจะพุ่งเข้าไปเสยคางให้มันรู้แล้วรู้รอดเสียจริง ถ้าไม่ติดว่าคู่อริตรงหน้าเป็นผู้หญิงก็คงทำไปนานแล้ว คงไม่มายืนมองหน้าที่ยั่วยุความโมโหของมิคาสะที่กำลังเบ้ปากยิ้มเยาะเย้ยอยู่แบบนี้
“แล้วเธอจะทำไม ในเมื่อเอเลนกับฉันมีอะไรกับแล้ว ในตอนนี้ เอเลนก็ไม่ต่างอะไรกับเมียของฉัน ฉันจะพาเขาไปนอนหรือทำอะไรที่ไหน แล้วมันผิดด้วยหรอ... ฉันไม่ได้ไปทำกันในห้องของเธอนี่” เด็กหนุ่มพูดพร้อมกระตุกยิ้มมุมปากกวนๆกลับไป ประโยคของรีไวล์เข้าสู่โสตประสาทของคู่อริทำให้อารมณ์ของมิคาสะเดือดปุดๆราวกับภูเขาไปที่กำลังจะปะทุออกมาก็ไม่ปาน ร่างเพรียวแข็งทื่อและสั่นเทาด้วยความโกรธที่ไม่อาจบรรยาย ด้วยประโยคเชือดเฉือนทำให้เจ็บปวดราวกับมีเลือดไหลซิบๆที่หัวใจ ดวงตาสีนิลคมสวยเบิกกว้างอย่างน่าสะพรึงกลัวพร้อมกับรังสีมืดมนที่แผ่กว้างออกมาทำเอาเพื่อนชายที่นอนอยู่บนเตียงด้านหลังสั่นสะท้าน แต่สิ่งนั้นไม่ได้ทำให้คนหน้าตายอย่างรีไวล์สะทกสะท้านหวาดหลัวเธอแต่อย่างใด
“คิดว่าทำหน้าแบบนั้นฉันจะกลัวรึไง ตลกชะมัด เอลวินตอนโกรธยังน่ากลัวกว่านี้อีก ” รีไวล์นึกในใจพลางแอบหัวเราะกระหึ่มในลำคอพร้อมกับสายตาคู่คมทอดมองท่าทีน่าขยะแขยงของหญิงสาวด้วยหางตา “แล้วคุณล่ะ คิดว่าเอเลนเต็มใจงั้นหรอ” มิคาสะพูดเว้นวรรคครู่หนึ่ง ประโยคที่เอ่ยด้วยเสียงสั่นเทานั้นทำเอารีไวล์ชะงักหันกลับมาสบตาของหญิงสาวอย่างจับจ้อง “ที่เอเลนต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะคุณไม่ใช่รึไง คุณทำให้เอเลนเสียใจ เสียความบริสุทธิ์ทั้งที่ไม่เต็มใจ คิดว่าทำถูกแล้วหรอ!!!” น้ำเสียงกระแทกกระทั้นแดกดันดวงใจของเด็กหนุ่มเข้าอย่างจัง ทำให้ห้วงความคิดย้อนหวนความรู้สึกผิดให้กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง เขาทำให้เอเลนต้องร้องไห้และเสียใจเมื่อคืนนี้ อุส่าห์ตั้งใจเอาไว้ว่าถ้าเอเลนตื่นขึ้นมาจะขอโทษและอธิบายทุกอย่างให้เข้าใจแท้ๆ แต่ยัยแม่บ้านจอมยุ่งก็เข้ามาสอดจนได้
เอเลนพยายามฟังการถกเถียงของทั้งสองคนอย่าใจจดจ่อทั้งรู้สึกปวดหัวตุบๆ แม้จะฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ก็พอจะเดาออกว่าทั้งสองคนพูดอะไรกัน แต่ประโยคที่มิคาสะพูดเมื่อครู่กลับได้ยินชัดเจน
“ฉันเต็มใจรึเปล่า?”
เอเลนถามตัวเอง สีหน้าสับสนและใบหน้าที่ร้อนรุ่มด้วยพิษไข้ จะเสียใจก็ไม่ใช่จะรู้สึกดีก็ไม่เชิง ถ้าถามว่าเมื่อคืนนี้นายน้อยได้ขืนใจเขาหรือไม่ ก็คงตอบได้ไม่เต็มปากว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” ความรักของรีไวล์ที่มอบให้มาช่างมีความสุขมากเหลือเกิน มากเกินที่จะห้ามใจไหว แต่ก็ถูกกังขาไว้ด้วยคำบอกรักที่คิดว่าเป็นการหลอกลวง บวกกับสิ่งที่ได้พบได้เจอก็ทำให้จิตใจใต้สำนึกพยายามปฏิเสธความรักนั้นอยู่ร่ำไป ถึงความรู้สึกของเอเลนที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขา "รักนายน้อยรีไวล์" มากแค่ไหนรักมากโดยไม่มีข้อแม้ อยากจะใช้ชีวิตอยู่กับคนคนนี้ อยากได้ชิดใกล้และเคียงข้างไปแสนนาน นั่นคือสิ่งที่อยู่ในใจ
“ฉันเต็มใจรึเปล่า?”
เอเลนถามตัวเอง สีหน้าสับสนและใบหน้าที่ร้อนรุ่มด้วยพิษไข้ จะเสียใจก็ไม่ใช่จะรู้สึกดีก็ไม่เชิง ถ้าถามว่าเมื่อคืนนี้นายน้อยได้ขืนใจเขาหรือไม่ ก็คงตอบได้ไม่เต็มปากว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” ความรักของรีไวล์ที่มอบให้มาช่างมีความสุขมากเหลือเกิน มากเกินที่จะห้ามใจไหว แต่ก็ถูกกังขาไว้ด้วยคำบอกรักที่คิดว่าเป็นการหลอกลวง บวกกับสิ่งที่ได้พบได้เจอก็ทำให้จิตใจใต้สำนึกพยายามปฏิเสธความรักนั้นอยู่ร่ำไป ถึงความรู้สึกของเอเลนที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขา "รักนายน้อยรีไวล์" มากแค่ไหนรักมากโดยไม่มีข้อแม้ อยากจะใช้ชีวิตอยู่กับคนคนนี้ อยากได้ชิดใกล้และเคียงข้างไปแสนนาน นั่นคือสิ่งที่อยู่ในใจ
แต่สิ่งที่ควรจะทำที่สุดคือปล่อยให้เขาแต่งงานกับคนที่เหมาะสมกับเขา อย่างคุณหนูเพทรา เขากำลังจะมีความสุข อนาคตก็จะมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบและเป็นพ่อคน ต่างกับเขาเหลือเกินที่ช่างต่ำต้อย เป็นแค่พ่อบ้านที่ทำงานงกๆให้เจ้านายไปวันๆ ไม่ได้เชิดชูนายน้อยให้สูงขึ้นได้เลย ไม่ได้เลอค่าเทียบคุณหนูเพทราที่กำลังจะมาเป็นสะใภ้ในคฤหาสน์ชิน่าเลยสักนิด จะต้องตีตัวออกห่าง ห่างจากนายน้อยรีไวล์ให้ได้.... ยิ่งตัดใจได้เร็วเท่าไรก็จะยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น ไม่อยากทนเห็นนายน้อยไปมีคนอื่น ไม่อยากรัก ไม่อยากให้ความรู้สึกนั้นมาทำร้ายตัวเองอีกแล้ว
“ฉันจะพาเอเลนกลับไปกันฉัน”
มิคาสะเอ่ยขึ้นพร้อมมือเรียวยกขึ้นจับแขนของเอเลน ชวนให้ดวงตาสีเทานั้นฉายวาวโรจน์พลัน รีไวล์มองสีหน้าของหญิงสาวที่แสยะยิ้มสยองให้กับเขาและเบ้ปากออกเหยียดหยามผู้เป็นเจ้านายซึ่งๆหน้า แต่เมื่อใบหน้าสวยนั้นหันกลับไปหาเอเลน รอยยิ้มบนใบหน้ากลับกลายเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนดุจเทพธิดาผู้เมตตา
ยัยปีศาจในคราบของเทพธิดา บังอาจมาแตะต้องเอเลนของฉันแล้วยังจะมาพูดว่าจะพาเอเลนกลับไปอีก ใครจะไปยอมกัน
“ไม่มีทาง ฉันไม่ให้.....” “ผมจะกลับไปกับมิคาสะ”
เสียงหวานใสของพ่อบ้านหนุ่มเอ่ยทั้งที่นอนอยู่บนเตียง ดวงตาสีเขียวมรกตไม่สบกับใครทั้งนั้น ไม่สามารถบอกได้ว่าตอนนี้กำลังมองไปที่ไหน ดูเลื่อนลอยและไร้ชีวิตชีวา หัวใจของเด็กหนุ่มร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันทีที่ได้ยินประโยคสั้นๆของผู้เป็นที่รัก เอเลนเลือกเธอคนนั้น และกำลังจะจากเขาไป ทั้งที่ยังไม่ได้คุยปรับความเข้าใจกันสักคำแท้ๆ “เอเลน ขอร้องล่ะ ช่วยฟังฉันอธิบายก่อนได้ไหม” “คุณก็ได้ยินแล้วนี่คะ เอเลนบอกจะกลับไปกับฉัน” มิคาสะพูดตัดบทพร้อมยักคิ้วหลิ่วตาให้รีไวล์
“มิคาสะ ช่วยพยุงฉันที” เสียงแหบพร่ากระตุกให้มิคาสะรีบหันมา แขนอรชรพยุงเอเลนให้ยืนขึ้นช้าๆ ร่างสูงบอบบางยืนโซเซ เวียนหัวมากอย่างบอกไม่ถูกเหมือนโลกหมุนได้ยังไงยังงั้น มิคาสะประคับประคองร่างของเพื่อนชายคนสนิทเดินตรงออกไปทางประตูห้องพลางคิดมโนเอาเองในใจ ถึงภาพในสมัยเด็กย้อนกลับมา ในวันที่เธอตั้งใจจะช่วยเอเลนให้ยืนขึ้นวันนั้น เขาปฏิเสธ แต่ในวันนี้เขากลับขอให้เธอช่วยเสียด้วยซ้ำ
เอเลนต้องการฉัน...เขาขาดฉันไม่ได้
“เอเลน....” เสียงทุ้มดังขึ้นเบาๆ เรียกชื่อของสุดที่รักที่กำลังเดินสวนออกจากประตูไป เอเลนหยุดชะงักเล็กน้อย แต่ไม่มีท่าทีว่าจะสนใจเสียงเรียกนั้นแม้แต่น้อย สายตาก็ไม่ช้อนมาสบแม้เสี้ยววิ รีไวล์คิดในใจ ...นี่เอเลนเกลียดเขาขนาดนี้เชียวหรอ แค่หน้ายังไม่อยากจะมอง มันหมายความว่ายังไง ....ประตูห้องกำลังจะปิดลงอย่างช้าๆสิ่งสุดท้ายที่ได้เห็นก็คือรอยยิ้มของปีศาจร้ายที่ถ่ายทอดถึงความสุขของตนออกมา ราวกับว่ามันได้ของรักกลับคืน
ปึง!!!!!
เสียงประตูปิดใส่หน้าเจ้าของห้องที่ยืนค้างอยู่อย่างนั้น รีไวล์ก้มหน้างุดจนคางชิดอก เส้นผมสีดำดุจรติกาลปรกใบหน้าหล่อเหลา ปกปิดดวงตาที่อาบด้วยน้ำตาแห่งความโศกเศร้า การร่ำไห้ที่ไร้ซึ่งเสียงสะอึกสะอื้น ของนายน้อยผู้ได้ขึ้นชื่อว่า เย็นชาและแข็งกระด้าง “ฉันจะต้องทำยังไงต่อ” รีไวล์ถามตัวเองในใจทั้งน้ำตาที่ยังไหลรินไม่ยอมหยุด เขาจะทำยังไงดี ความรักของเขานั้นจะต้องสูญสลายไปแบบนี้แล้วยอมแต่งงานกับเพทราจริงๆน่ะหรอ นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงๆงั้นหรอ
.
.
.
.
.
หญิงสาวร่างสูงในชุดกระโปรงยาวระดับเข่าเดินทอดน่องขึ้นบันไดหลายสิบขั้น ใจในพลางคิดถึงคำพูดของผู้เป็นพี่ชายสุดที่รักและไว้ใจยิ่งกว่าใครถึงเรื่องความรักของเธอที่มีต่อเอกราชฑูตอาร์มิน “ท่านอาร์มินเป็นคนดี ถึงเขาจะปฏิเสธมาแต่เขาไม่มีทางที่จะทำตัวห่างเหินกับน้องแน่ พี่ยืนยันเลย” คำพูดของพี่ชายเรียกความมั่นใจของเธอให้กลับมาอีกครั้ง เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลมันรวบสูงเดินมาถึงชั้นที่ 5 ด้วยความมั่นใจที่เหลือล้นในอกซ้าย ดวงตาหวานล้ำสีน้ำตาลทอดมองผ่านแว่นทรงกลมไปตามประตูห้องอื่นๆที่เป็นแถวยาวออกไป ห้องสุดท้ายที่ประตูใหญ่นั้นเปิดอ้ากว้างอยู่ตลอดเวลานั้นคือห้องของเอกราชฑูตอาร์มินแต่เพียงผู้เดียว ฮันซี่พยายามควบคุมหัวใจที่เต้นรัวราวกับจังหวะกลองของเธอให้สงบลง พลางเดินย่างฝีเท้าตรงไปที่ประตู
ต้องเป็นวันนี้เท่านั้นที่จะพูดออกไป จะไม่ยอมให้หัวใจที่กล้าๆกลัวนี้ทำลายความมั่นใจของเธออีกแล้ว
“เราจะคบกันได้ไหมครับ คุณคริสต้า”
เสี่ยงทุ้มอ่อนโยนดังออกมาจากในห้อง เอ่ยกล่าวกับหญิงสาวอีกคน ทำให้ฝีเท้าของหญิงสาวต้องหยุดชะงักอยู่ข้างบานประตู ดวงตาหวานสีน้ำตาลเบิกกว้างด้วยความหวาดหวั่นใจ แผ่นหลังแคบยืนพิงประตูฟังสิ่งที่ทั้งสองคนพูดต่อไป
“นี่เรื่องจริงหรอคะท่านอาร์มิน ฉันดีใจจังเลยค่ะ”
“ครับ ผมรู้สึกมีความสุขเวลาที่ได้อยู่ใกล้ ทำให้ผมยิ้มอย่างมีความสุขได้ทุกครั้งที่เจอหน้า ผมจึงมั่นใจ ว่านี่คือความรัก อยากจะสนิทสนมกันมากกว่านี้ อยากเลื่อนความสัมพันธ์จากคำว่ามิตรภาพเป็นคำว่ารัก จะได้ไหมครับ”
“ได้สิคะท่านอาร์มิน ฉันก็คิดว่าก็คงรู้สึกเหมือนกับคุณนั่นแหละค่ะ”
ตุบ!!!
เสียงเหมือนบางสิ่งกระแทกพื้น ชักดวงตาสีฟ้าทั้งสองให้หันมาที่ประตูแล้ววิ่งออกมาดูสิ่งนั้น ร่างของหญิงสาวที่นอนคว่ำอยู่กับพื้นท่าทางว่าเธอคงจะสะดุดขาตัวเองล้ม แต่แทนที่บุรุษร่างใหญ่จะหัวเราะกลับดีใจจนบอกไม่ถูกเมื่อได้เห็นคุณหนูฮันซี่มาอยู่ตรงหน้า อาร์มินเบิกตากว้างด้วยความยินดี ร่างใหญ่ย่อตัวเล็กน้อยแล้วยื่นมือแกร่งให้หญิงสาวเพื่อให้เธอลุกขึ้น “คุณฮันซี่ได้ยินหมดแล้วสินะครับ”อาร์มินพูดพร้อมรอยยิ้มพลางจับมือของหญิงสาวให้ลุกขึ้นช้าๆ “ค่ะได้ยินแล้ว” ฮันซี่พูดพร้อมกระตุกยิ้มมุมปาก แต่ดวงตาของเธอช่างเศร้าหมองและคลอด้วยน้ำตาใสจนแทบจะไหลปริ่ม ดวงตาแดงก่ำของฮันนซี่ทำให้อาร์มินรู้สึกฉงนใจอย่างมาก
“คุณฮันซี่ ทำไมต้องร้องไห้ด้วยล่ะครับ แทนที่....” “ค่ะ ฉันดีใจด้วยนะคะ ท่านอาร์มิน” ชายหนุ่มพูดพลางยกมือขึ้นหมายจะปาดน้ำตาบนใบหน้าให้ฮันซี่ แต่หญิงสาวกลับผละตัวถอยไปด้านหลังปฏิเสธเขา แล้ววิ่งหนีออกไปพร้อมกับน้ำตา “เดี๋ยวสิครับ คุณฮันซี่!!!” เสียงทุ้มเรียกชื่อของหญิงสาวไล่หลังตามไป อาร์มินเลิกคิ้วสูง ไม่เข้าใจริงๆ ท่าทีของคุณฮันซี่ แทนที่จะดีใจแท้ๆ ทำไมกัน... “เอ๊า! ท่าอาร์มินจะยืนอยู่ทำไมคะ รีบตามเธอไปสิคะ” เสียงใสกังวานเอ่ยดันให้บุรุษร่างสูงตรงหน้าวิ่งตามคุณหนูฮันซี่ไป อาร์มินหันมายิ้มให้แล้วออกตัววิ่งตามไปโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น คริสต้าเองก็รู้สึกฉงนใจไม่แพ้กัน ใบหน้าของคุณหนูฮันซี่ดูเศ้ราหมองจัง... น้ำตาที่ไหลต่อหน้าต่อตาเธอทำเอารู้สึกหดหู่ใจแปลกๆไม่ใช่น้อย
ไม่ดีใจเลยหรอคะ คุณฮันซี่
TBC
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น