Position
Part #9
เสียงดนตรีเงียบลง การเต้นรำของแขกผู้มีเกียรติราวๆสิบคู่นั้นหยุดลง บุรุษและสตรีต่างโค้งตัวให้กันแล้วเดินกลับไปยังที่นั่งของตนตามเดิม... ชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ นั่งอมยิ้มอย่างมีความสุข
ดวงตาสีฟ้าอ่อนโยนผินมองลูกชายและว่าที่ลูกสะใภ้ที่เดินกลับมาที่โต๊ะ เอลวินชวนคุยเกี่ยวกับงานแต่งงานของสองหนุ่มสาวในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า กับท่านชายไนล์เพื่อนสนิทที่คบกันมานานกว่าสิบปี....
“ฉันว่านะ งานแต่งคราวนี้จะต้องจัดให้ยิ่งใหญ่ และน่าจะจัดที่คฤหาสน์ชิกันชิน่านี่แหละ แล้วลูกล่ะเพทรา ว่ายังไง” ไนล์หันไปหาบุตรสาวที่สีหน้าไร้อารมณ์... ริมฝีปากหนาส่งยิ้มให้ลูกสาว...แอบแฝงไปด้วยท่าทางบังคับเล็กน้อย เพทราหันมาสบตาสีนิลของผู้เป็นพ่อด้วยท่าทีผวาหน่อยๆ...
“อา... แล้วแต่คุณพ่อเลยค่ะ...” เพทราตอบพร้อมยิ้มแห้งๆ เธอรู้สึกอึดอัด อยากถอนหายใจออกมาให้สุดปอด ที่ต้องมาคุยเรื่องที่ชวนกดดันแบบนี้ มันมากซะจนน้ำตาจะไหลอยู่แล้ว...
ไม่ได้นะ... ฉันจะร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นในงานแบบนี้ไม่ได้...
“แล้วเราจะไปเตรียมงานกันวันไหนด....” “เออ....คุณพ่อค่ะ ลูกขอตัวออกไปเดินรับลมข้างนอกหน่อยนะคะ...” เสียงใสพูดแทรกตัดบท ร่างอรชรยืนขึ้นแล้วเดินออกไปจากงานทันที ปล่อยให้ผู้เป็นพ่อถึงกับมุ่นคิ้ว ไนล์ถอนหายใจเบาๆ
ลูกยังทำใจไม่ได้หรอเนี่ย...
ไนล์หันไปขอโทษเพื่อนชายวันกลางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “ ฮะๆ ฉันขอโทษที เอลวิน เพทราเป็นคนขี้อายน่ะ” ไนล์เกาหัวแรกๆ เพื่อนชายเรือนผมสีทองสายหัวเบาๆพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ... ดวงเนตรสีฟ้าหันไปหาบุตรชายที่เบือนหน้าไปทางอื่น ท่าทางว่าเรื่องที่คุยเกี่ยวกับงานแต่งงานเมื่อครู่จะไม่ได้ฟังเลยสักนิด เอลวินมองภายในดวงตาคู่คมของลูกชายที่เหมือนอาลัยอาวรณ์ สายตามองไปที่ประตูทางออกมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว..
“เอเลน... รออีกหน่อยนะ ฉันจะไปอธิบายทุกอย่างให้นายฟังเอง...” รีไวล์พึมพำในใจ.. ในสมองของเขาตอนนี้ อยากจะวิ่งออกไปนอกงานเพื่อไปหาเอเลนใจจะขาดอยู่แล้ว แต่ในฐานะของลูกชายของเจ้าของคฤหาสน์ ไม่ให้น่าเกลียด จะต้องอยู่ในงานไม่ออกไปไหน เป็นสิ่งที่ผู้เป็นพ่อกำชับไว้ก่อนงานเริ่ม ได้แต่ต้องรอเวลางานเลิกเท่านั้น....
.
.
.
.
“นี่ มิคาสะ เราจะไปที่ไหนกันหรอ...” ชายหนุ่มในชุดพ่อบ้านที่เดินตามหลังหญิงสาวในระยะสองเมตรนั้นเอ่ยขึ้น พลางสายตาเจ้าเล่ห์มองแผ่นหลังของแม่บ้านสาว ฝีเท้าที่ก้าวถี่ๆของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มแทบจะเดินตามไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะรีบไปไหนของเธอ “ เดินลึกเข้าไปอีกหน่อยน่ะ...”มาคาสะพูดทั้งที่ก้าวฝีเท้านำไปอย่างเนื่องๆ ตามทางเดินของสวนหลังคฤหาสน์...พันธุ์ไม้นาๆชนิดที่ปลูกไว้ดูสวยงามในตอนเช้า แต่ตอนกลางคืนนั้นกลับให้ความรู้สึกที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
สภาพอากาศที่กำลังเข้าใกล้ฤดูเหมันต์ก็เริ่มจะหนาวจัดซะแล้ว บวกกับบรรยากาศน่าขนลุกนี่ก็ทำเอาชายหนุ่มผมสีอ่อนอดขนลุกขนชันเสียไม่ได้ มือแกร่งทั้งสองข้างกอดตัวเองพร้อมถูไปมาเบาๆ เป็นการตอบสนองของร่างกายต่อสภาพอากาศหนาวเหน็บ..
สองหนุ่มสาวเดินมาเรื่อยๆจนมาถึงโซนที่ถูกจัดเอาไว้เหมือนเอาไว้ให้ผู้มาเยือนได้เยี่ยมชม...พุ่มไม้ที่ถูกตัดแต่งสวยงามความสูงโดยประมาณก็เท่าๆกับระดับช่วงอกของชายหนุ่มผมสีอ่อน พงหญ้าที่ดูรกรุงรังเล็กน้อยแต่มองอีกมุมก็เข้ากับพรรณไม้ที่ประดับไว้รอบๆเป็นอย่างดี.. ห่างจากคฤหาสน์ชิกันชิน่าก็ไกลไม่ใช่น้อย จะทำอะไรกันเสียงดังแค่ไหนคงไม่มีทางได้ยิน เพราะละแวกนั้นก็ไม่มีบ้านผู้คนอาศัยอยู่แล้วด้วย
สมกับที่เป็นมิคาสะ เลือกสถานที่ได้เหมาะจริงๆ...
“แล้วแผลที่มือของเธอหายดีแล้วหรอ...” แจนถามแม่บ้านสาวที่หันซ้ายหันขวาเพื่อมองให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้จริงๆ จากบาดแผลที่มือขวา ดูก็รู้ว่าแผลยังไม่หายดีสักเท่าไรถึงจะเป็นแผลที่ไม่ลึกเท่าไรนัก การพันผ้าพันแผลแค่สองสามวันก็ไม่ได้ทำให้หายไว้มากเท่าไร จริงๆก็สังเกตตั้งแต่ตอนที่มิคาสะจับมือเขาตอนที่อยู่ในงานแล้ว ก็ได้เห็นว่าที่มือของเธอไม่มีผ้าพันแผลอยู่ “อืม มันยังไม่ค่อยหายดีเท่าไร.. แต่ว่าถ้ายังพันเอาไว้ฉันจะทำอะไรไม่ค่อยสะดวกน่ะ” มิคาสะยกมือขวาขึ้นมามอง ดวงตาสีนิลเยือกเย็นมองบาดแผลที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยโทสะของตัวเอง เธอขยับมือเล็กน้อยเพื่อทดสอบความคล่องมือ..
ใช่.. ถ้าไม่ถอดมันออกล่ะก็ฉันจะฆ่าแกได้ไม่สะดวกน่ะสิ..
มิคาสะเดินเข้ามาที่พงหญ้ารกๆเล็กน้อยหลังพุ่งไม้ใหญ่ ตามด้วยพ่อบ้านหนุ่มที่มาด้วยกัน..ทันทีที่ชายหนุ่มมาตรงนี้ก็แทบจะเอามือมาปิดจมูกแทบไม่ทันกลิ่นเหม็นเน่าจางๆลอยมา บอกไม่ถูกว่าอยู่ใกล้หรือไกลรู้แต่ว่าลอยตามอากาศมา กลิ่นจางๆ แต่ก็เหม็นใช่เล่น แจนสังเกตว่ามิคาสะก็ยกมือขึ้นมาปิดจมูกเช่นกัน เธอเองก็คงจะได้กลิ่นเหม็นประหลาดนี่เช่นเดียวกับเขา...
“ ตรงนี้แหละ ...” มิคาสะพูดเว้นวรรคครู่หนึ่ง แจนถึงรีบเงยหน้าขึ้นมาสบตา “จะทำอะไรก็ทำสิ...” มิคาสะพูดต่อแล้วก้มหน้างุดจนคางชิดอก ผมสีดำสลวยปรกใบหน้าที่เยือกเย็นของมิคาสะ “ ห๊า! ว่าไงนะ ตรงนี้หรอ..แต่กลิ่นมัน...” “จะทำรึเปล่าล่ะ ถ้าไม่ทำฉันจะกลับ...” มิคาสะพูดตัดบท ร่างอรชรทำท่าว่าจะก้าวขาเดินออกไป... ชายหนุ่มใจร่วงไปอยู่ตาที่ตุ่ม มือแกร่งรีบฉวยคว้าแขนอรชรของแม่บ้านสาวเอาไว้...
“ อย่าไปเลยนะ มิคาสะ..” แจนพูดด้วยสายตาอ้อนวอน ชายหนุ่มสมสีอ่อนเบ้ปาก ทำท่าทางเหมือนลูกหมาอ้อนเจ้าของ “ งั้นก็ทำตรงนี้...” มิคาสะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ใบหน้านิ่งเรียบของแม่บ้านสาวผู้ได้ขึ้นชื่อว่าเก่งที่สุดแผ่รังสีทะมึนใส่พ่อบ้านหนุ่ม ด้วยความต้องการทางเพศของแจนที่สูงมาก ในเวลาแบบนี้ต่อให้จะเหม็นแค่ไหนเขาก็จะพยายามทนเอา เพื่อแลกกับการได้ลิ้มลองรสชาติของความรักในคืนนี้.. “ก็ได้ๆ ตรงนี้ก็ตรงนี้...” แจนพยักหน้าหงึกๆ ถึงในใจจะแอบสงสัยอยู่ว่าทำไมต้องเป็นในสวนที่ห่างคฤหาสน์ขนาดนี้ จริงๆแล้วถ้าเป็นในห้องของเขาก็ไม่น่าจะมีปัญหาอยู่แล้ว แต่บางทีมิคาสะอาจจะชอบที่แบบนี้ก็ได้ หรือไม่ก็เธอคงคาดไว้ว่าอาจจะร้องเสียงดังก็เลยต้องมาที่ไกลๆ
มือหยาบโลนจับไหล่ทั้งสองข้างของมิคาสะ... ใบหน้าคมเข้มโน้มเข้าใกล้ใบหน้าของหญิงสาวพร้อมกับค่อยๆปิดเปลือกตา ริมฝีปากหนาประกบกับริมฝีปากอวบอิ่มของหญิงสาวที่แอบหลงรักมานานหลายปี แอบมองและเฝ้าดูเธอมานานเหลือเกิน ในที่สุดวันนี้ก็จะได้เชยชมเธอผู้เป็นที่รัก.. แจนไม่รอช้ารีบสอดลิ้นสากเข้าไปนัวเนียกับลิ้นของมิคาสะ.. สัมผัสที่เร่าร้อนของชายหนุ่มทำเอาร่างบางแทบอ่อนระทวย
ปึก!!!
มือแกร่งกดร่างของหญิงสาวทรุดนั่งลงกับพื้นหญ้า... มือหยาบที่ซุกซนลูบไล้ไปตามเรือนของของหญิงสาว แจนฉีกกระชากเสื้อกั๊กสีดำของมิคาสะออก ร่างใหญ่โน้มตัวลงต่ำหมายจะประกบจูบมิคาสะ ก้มต่ำจนต้องใช้ฝ่ามือดันพื้น แต่ทันทีที่มือแกร่งสัมผัสกับพื้นหญ้าก็รู้สึกเหนอะหนะจนรู้สึกสะอิดสะเอียนไม่ได้.. มือข้างซ้ายคลำไปมาตามพื้นหญ้าที่รกรัง
!!!!!
ฝ่ามือซ้ายพบเจอสิ่งประหลาดกลมๆสากๆ และสัมผัสเหนอะหนะของของเหลวน่าสะอิดสะเอียนนั้นก็เหมือนมาจากสิ่งนี้ แจนขนลุกซู่ ทำใจกล้าจับวัตถุประหลาดนั้นด้วยท่าที่กำลังคร่อมร่างบางของหญิงสาวอยู่
เฮือก!!!
แจนถึงกับต้องผงะเมื่อได้เห็นสิ่งนั้นผ่านต้นคอของหญิงสาวที่ปรกด้วยเส้นผมสีดำสลวย... ชิ้นส่วนของมนุษย์ที่เหมือนถูกตัดขาดเวิ่น ชิ้นส่วนหัวที่ไร้เส้นผม ช่วงลำคอที่ถูกตัดขาดเหมือนถูกตัดเซาะทีละนิดๆจนหลุดออกมา ด้วยแสงที่มืดเหลือเกินทำให้เขาต้องหรี่ตาเพื่อมองใบหน้าของเจ้าของศรีษะนั้นให้ชัดๆ
ดวงตาสีอำพันขอบศรีษะที่ถูกตัดนั้นที่เบิกกว้างสุดขีด ฟันขบแน่นไม่คลาย คราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ตอนนี้ใบหน้านั้นซีดเผือกเส้นเลือดแดงขึ้นตามใบหน้าและขอบตาอาบด้วยเลือดสีแดงที่ในยามค่ำคืนนี้มองว่าเป็นสีดำ สีหน้าเหมือนกับว่าเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสใบหน้าช้ำเลือดช้ำหนอง ที่เด่นที่สุดคือรอยเหมือนถูกบางอย่าเจาะเข้าไปที่กลางหน้าผากเป็นรูใหญ่และลึก ลึกซะจนเห็นเนื้อหนังภายในแม้ว่าแสงในตอนนี้จะมืดก็ตาม แจนสั่นไปทั่งตัวตามสัญชาติญาณของมนุษย์ และคงไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฆาตกรผู้โหดเหี้ยมนั้นคือใคร.. เมื่อทุกอย่างนั้นชัดเจนขนาดนี้แล้ว กล้ามเนื้อขาที่แข็งเกร็งจนไม่สามารถขยับออกไปไหนได้.. ความอัดอั้นผสมปนเปกับความหวาดกลัวทำให้ริมฝีปากหนาขยับพูดด้วยเสียงที่ดังและสั่นเทา
โคนี่!!!!!
ปัก!!!!!
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!” เสียงร้องดังสนั่นไปทั่วแต่ก็ไม่มีใครได้รับรู้ความเจ็บปวดของพ่อบ้านหนุ่มที่ได้รับ ความเจ็บปวดที่สุดจะทรมานของผู้ชาย การที่ความเป็นชายนั้นได้รับการกระแทกด้วยของแข็งบางอย่างทำเอาเขานั้นถึงกับต้องขดตัวโดยที่มือแกร่งนั้นกุมเอาไว้แน่น...
ปึก!!
“โอ๊ย!!” แจนร้องอุทานเสียงหลง ด้วยแรงถีบของมิคาสะทำให้เขาต้องกระเด็นกลิ้งหลุนๆห่างออกมาบวกกับความเจ็บปวดมากมายเกินที่จะรับได้ ชายหนุ่มที่นอนขดตัวอยู่กับพื้นถลึงตาใส่หญิงสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับกัดฟันแน่นจนมีเสียงดังกรอด... “แหม....นายนี่ก็เก่งไม่ใช่ย่อยเลยนี่.. ฉันเกือบจะเคลิ้มเลยล่ะ....แต่ว่านะ พรหมจรรย์ของฉันน่ะ ไม่มีวันให้กับคนที่น่าสะอิดสะเอียนอย่างนายหรอกน่า...” มิคาสะพูดพร้อมกับยกค้อนในมือขึ้นมามองอย่างเอ็นดู ค้อนเหล็กที่ไม่ใหญ่มากแต่ดูท่าว่ามันจะหนักไม่ใช่น้อย เธอมองดูค้อนในมือที่ใช่มันทุบเข้าไปที่ความเป็นชายของผู้ชายผมสีอ่อนน่ารังเกียจเมื่อครู่พร้อมกับแสยะยิ้มสยอง สะเทือนใจพ่อบ้านหนุ่มที่นอนขดตัวอยู่ข้างปลายเท้าด้วยใบหน้าเขียวจนออกม่วง
“มิคา...สะ “ แจนถลึงตามองหน้าหญิงสาวที่ยืนเปลือยท่อนบนเบื้องหน้าพร้อมกับค้อนเหล็กที่เธอแอบซุกซ่อนไว้ใต้พุ่มไม้ใกล้ๆ เมื่อถึงโอกาสก็หยิบมันมาใช้อย่างสะดวก กล่องดวงใจถูกทลาย... ความเจ็บปวดไม่ที่ไม่คลายนี่ยิ่งรู้สึกเหมือนจะขาดใจ ดวงตาคู่คมที่มีน้ำตาคลอมองไปยังอีกศพที่อยู่ได้ต้นไม้ ส่วนหัวยังคงถูกวางอยู่ด้วยท่าตะแคง ข้างๆกับร่างที่ซุกอยู่ใต้พุ่มไม้ ที่ขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย...และชุ่มไปด้วยเลือด
อีกสักครู่เขาเองก็จะต้องกลายเป็นแบบนั้น....
“มิ...คาสะ... เธอ..ฆ ...ฆ่าโคนี่ ...เธอ...ทำได้ยังไง ...ยัยโรคจิต!!!!!”
“โอ๊ะ!ดูนี่สิ เจ้าคนปากดีที่กำลังจะตายในอีกไม่ช้า ยังปากหมาไม่เลิก ทำไมหรอ อยากจะตายแบบโคนี่สินะ แต่ไม่หรอกน่า...ฉันไม่อยากให้ศพมันตายซ้ำกัน หุหุหุ” ร่างบางที่เปลือยท่อนบนนั่งย่อเข่าใบหน้าสวยที่แสยะยิ้มดูน่ากลัว การพูดจาที่แจนได้ยินเมื่อครู่นั้นถึงกับต้องตะลึง เมื่อพบว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นไม่ใช่มิคาสะคนที่เขารักอีกต่อไป...
“ เลือดเย็น...โรคจิต” แจนพูดเบาๆ คำด่านั้นไม่ได้ทำให้มิคาสะสะทกสะท้านแต่อย่างไร แต่เป็นเขาเองที่กลับมีความรู้สึกสมเพชตัวเองที่ไปคลุกคลีกับคนที่จะฆ่าตัวเองอย่างโง่เง่า
“ หึ!! แล้วแกล่ะ... ไอ้สารเลว!!! แกกล้ามากที่มาทำร้ายเอเลนของฉัน!!! เอเลนน่ะ เป็นดวงใจของฉัน... แกทำร้ายเขาเท่ากับทำร้ายหัวใจของฉัน เอเลนเจ็บ ฉันก็เจ็บ!!!” มิคาสะพูดพร้อมเบิกตากว้าง มือเรียวยกขึ้นทาบที่อกซ้าย ข้างที่มีหัวใจของเธอเต้นรัวดั่งกลองอยู่...
“ แล้วเธอคิดว่าไอ้เจ้าเอเลน มันรักเธอมากรึไง!!! อย่างเจ้าหมอนั่นไม่มีทางมามองเธอหรอกรู้ไว้ซะ!!” แจนอารมเดือดดาล เผลอพูดกระแทกใส่มิคาสะไปด้วยความลืมตัว แต่ก็แอบตกใจไม่ใช่น้อยที่มิคาสะเห็นการกระทำของเขากับโคนี่
“..........” แจนถึงกับต้องผงะ มือดวงตาคู่คมสบเข้ากับดวงตาสีนิลมืดมน ในเมื่อครู่ว่าน่ากลัวแล้ว แต่ ณ วินาทีนี้มันไม่อาจบรรยายความรู้สึกภายในอัญมณีสีหม่นนั้นได้เลย...
“ฉันรู้ดี... เอเลนน่ะไม่เคยหันมามองฉันเลย.. ไม่เคยเลย” มิคาสะกำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด น้ำตาสีใสไหลตามโหนกแก้มแล้วหยดลงสู่พื้นหญ้าหยดแล้วหยดเล่า ริมฝีปากบางที่สูญเสียความเป็นครั้งแรกไปเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว “เพราะฉันรู้ไง... ว่าเอเลนไม่มีทางที่จะรักฉัน.. ฉันก็เลยจะต้องทำในสิ่งที่ฉันจะทำได้!!! ฉันต้องปกป้องเอเลน ดูแลเอเลนให้ดีที่สุด ดูแลดวงใจของฉันให้ดีที่สุด!!! คนอย่างแกมันไม่มีทางเข้าใจ!!! ความรักของฉันที่มีต่อเอเลนนั้น.. มันยิ่งใหญ่มากขนาดไหน..” มิคาสะพูดต่อ มือเรียวยีหัวของตัวเองจนยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลไม่ขาดสาย... ทำเอาแจนที่นอนอยู่บนพื้นหญ้าถึงกับต้องตะลึง
มิคาสะ เธอเพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว...
แจนนิ่งเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรอีก ปล่อยให้หญิงสาวที่ยืนอยู่นั้นเอ่ยวาจาเพ้อเจ้อเพ้อฝันอยู่อย่างนั้นและแล้วก็ต้องมาสะดุดกับคำๆหนึ่งเข้า “ หึ! แกรู้ไหม โคนี่ไม่ใช่ศพแรกที่ฉันฆ่านะ ฮะๆๆ ถ้าให้ฉันนับนะ ฮะๆๆๆ... ไม่รู้สิ ฉันนับไม่ถ้วนเลยล่ะ คิคิๆๆ ฮะๆ ฮ่าๆๆๆๆ...” มิคาสะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ในสายตาของแจนคนนี้เธอไม่ต่างกับคนบ้าคนหนึ่งที่ออกมาเพ่นพ่านนอกโรงพยาบาล “ รู้ไหมประวัติของเอเลนก่อนจะเข้ามาทำงานที่คฤหาสน์นี้น่ะ กำพร้าพ่อแม่.. ไม่มีญาติ.. หึๆๆ ไม่มีใครรู้เลย ว่าฉันเองนี่แหละที่เป็นคนฆ่าคุณพ่อคุณแม่ของเอเลนเอง โอ๊ะ! ไม่ใช่แค่นั้น พ่อแม่ของฉันก็ด้วยนะฮะๆๆๆ ช่วยไม่ได้ ก็คุณพ่อคุณแม่คิดจะกีดกันฉันกับเอเลนนี่นา... คุณแม่คลาร่าก็เอาแต่ต่อว่าเอเลน บังคับเอเลนสารพัด ฉันจะไปทนดูได้ยังไง... แต่คุณพ่อคริชาจะไม่ได้เป็นศพที่สี่แน่ถ้าเขาไม่เผลอเข้ามาตอนที่ฉันกำลังจะทำลายศพ”
มิคาสะพูดไปสลับกับหัวเราะไปด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว จริงๆเธอก็ไม่ได้ฆ่าแค่พ่อแม่ของเธอและพ่อแม่ของเอเลนเท่านั้น คนในคฤหาสน์นี้ก็ฆ่ามาแล้ว คนที่เข้าใกล้เอเลนทุกคนจะต้องตายทุกคน กระทั่งแม่ของนาย้อยรีไวล์ที่ว่าตายไปเพราะโรคร้าย ก็เป็นฝีมือเธอ “ยัยป้านั้นก็ดันเกิดจิตวิปริตชอบเด็กหนุ่มหน้าหวานอย่างเอเลนขึ้นมา”
คนอย่างฉัน ถ้าเกี่ยวกับเอเลนล่ะก็ รู้ทุกอย่าง...
“เอาล่ะ แล้วนายอยากจะตายแบบไหนล่ะแจน... ไม่ต้องตอบหรอกนะ เพราะฉันคิดเอาไว้ให้นายแล้ว” มิคาสะพูดพร้อมกับยกค้อนในมือขึ้นเหนือหัวหมายจะทุบลงไปยังไปยังใบหน้าของชายหนุ่มผมสีอ่อน แจนเห็นอย่างนั้นก็พยายามจะถอนหนีแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว...
ปึก!!!!! ปึก!!!!!! ปึก!!!!....
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!! อ๊ากกกกกกกกกกกก!!!!!อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!.....
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังกังวาน ดวงตาคู่คมที่ถลึงจ้องอาฆาตเมื่อครูตอนนี้มันไม่สามารถมองเห็นได้อีกแล้ว มันถูกอาบไปด้วยของเหลวสีแดงและถูกควักกออกไปแล้วด้วยหงอนค้อนเหล็กทรงพลังที่จ้วงดึงออกไปอยากรุนแรงและโหดเหี้ยม...ถึงจะร้องไปอีกสักเท่าไรก็ไม่มีทางที่ใครจะได้ยิน... จนกระทั่งเสียงนั้นได้ดับไป ดับไปพร้อมกับจิตวิญญาณที่ออกจากร่างไปด้วย ร่างใหญ่ที่อาบโชกเลือด หน้าท้องถูกแหวกออกด้วยรอยแผลที่เกิดจากการเซาะด้วยหงอนค้อนแหลม ลูกตาข้างขวาถูกควักออกไป ผิวพรรณหยาบโลนช้ำเลือดช้ำหนองสาสมแก่โทสะของหญิงสาวที่ยืนเปลือยท่อนบน และสิ่งสุดท้ายที่เธอจะทำก็คือ
เจาะหน้าผาก...
เธอไม่รอช้ารีบจามหงอนค้อนเหล็กสีดำนั้นเข้ากลางหน้าผากของศพไร้วิญญาณ เพียงแค่สองสามครั้งรอยเจาะหน้าผากนนั้นก็กว้างและลึกสมใจเธอ “ทำกับเอเลนยังไง ก็ต้องรับไปอย่างนั้น ไม่สิ มากกว่าหลายเท่า...” มิคาสะพึมพำเบาๆ เธอปาดน้ำตาลวกๆ เธอใช้เศษผ้าส่วนที่ไม่เปื้อนเลือดของแจนเช็ดคราบเลือดที่มือออกจนหมดแล้วลากศพนั้นยัดเข้าใต้พุ่งไม้อย่ามิดชิดถึงจะมีรอยเลือดเลอะพื้นหญ้าส่วนอื่นก็ไม่เป็นปัญหาเพราะเธอได้เตรียมเศษหญ้าอื่นๆมาถมไว้เรียบร้อย จริงๆแล้วเธอต้องการที่จะฝังมันลงไปด้วยซ้ำแต่ด้วยที่การขุดหลุมต้องใช้เวลา แต่ด้วยเธอไม่มีเวลามากขนาดนั้น ถ้าออกมานานเกินเอเลยจะสงสัยได้ มิคาสะจึงเลือกสีจะซุกซ่อนศพไว้ก่อน ยังไงสวนนี้เธอก็เป็นคนดูแลและจัดแต่งมันเองด้วยมือของเธอคนเดียวอยู่แล้ว ไม่ค่อยมีใครเข้ามาที่สวนนี้บ่อยนัก...
ร่องรอยต่างๆถูกกลบเกลื่อนอย่างแนบเนียนตามประสบการณ์ที่เชียวชาญมาสิบปี “เฮ้อ เรียบร้อยสักที ต้องรีบกลับไปที่งาน แล้วพรุ่งนี้ตอนเช้ามือค่อยมาจัดการทีหลัง...” มิคาสะคิดในใจร่างอรชรกำลังจะเตรียมวิ่งไปที่ทางลัดเพื่อจะได้กลับไปที่คฤหาสน์ได้เร็วขึ้น..
กร๊อบ!!!
ยังไม่ได้ทันจะก้าวขา ก็มีเสียงประหลาดดังขึ้นจากด้านข้าง เสียงไม่ใกล้นัก “มีคนอยู่แถวนี้งั้นหรอ “ มิคาสะคิด พลางดวงตาสีนิลอัมหิตกวาดไปรอบๆอย่างช้างๆ ทันใดนั้นเซ้นส์ของเธอก็บอกว่าคนที่แอบมองอยู่นั้นอยู่พุ่งไม้ที่ไม่ห่างจากเธอนัก มิคาสะเดินมุ่งตรงไปตรงนั้นอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้ไก่ตื่น...
พรึบ!!!!
มิคาสะแหวกพุ่งไม้นั้นด้วยความรวดเร็ว กลับไม่พบอะไรเลย “หนีไปแล้ว!!!” มิคาสะพูดในใจ และรู้สึกเจ็บจอย่างมาก แต่ทันใดนั้นก่อนที่เธอจะเดินกลับไป สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับ “เส้นผม?” เส้นผมเส้นเล็กติดอยู่ที่กิ่งไม้แหลมๆหลังพุ่มไม้นั้นอยู่สามสี่เส้น เส้นผมสีน้ำตาลออกส้มไม่ยาวนัก กลิ่นคล้ายน้ำหอมของผู้หญิง...มิคาสะแสยะยิ้มเล็กน้อย เธอรู้ดีกว่าคนคนนั้นไม่กล้าที่จะเอาเรื่องนี้ไปบอกใครแน่ๆและเธอก็มั่นใจว่าในที่มืดๆแบบนี้ไม่มีทางเห็นหน้าเธอได้ชัด
“เราคงจะต้องคุยกันหน่อยแล้ว คุณหนูเพทรา..”
TBC
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น